ย้อนอดีต ตามหา...แม่ของลูก
ตอนที่ 8 อนาคตเปลี่ยนเพราะผู้หญิง
การเปลี่ยนเส้นทางอนาคตของคนเรานั้นมีหลากหลายเหตุผลและหนึ่งในนั้นก็คือ "ความรัก" ซึ่งตอนนี้เส้นทางชีวิตของผมก็เปลี่ยนไปเพราะผู้หญิงคนหนึ่งเช่นกัน
 
“พ่อ! ทำไมพ่อถึงเลือกเรียนเกษตรล่ะ หนูไม่เคยเห็นพ่อสนใจเรื่องนี้เลย?” น้องมีนถามผมขณะที่เราทั้งคู่เดินจูงมือกันอยู่
 
“บางทีตอนนั้นมันเป็นเรื่องของทิฐิน่ะ ถึงพ่อจะบอกว่าอยากเป็นกระเป๋ารถเมล์ แต่เอาจริงๆก็รู้ว่าอาชีพนี้คงไม่เหมาะกับพ่อ ที่ทำไปก็เพราะพ่ออยากเอาชนะขิงเท่านั้น และทำให้ขิงเห็นว่าคนที่เรียนไม่เก่งอย่างพ่อก็มีอนาคตได้ ในแบบที่ตัวเองเป็น”
 
“ก็เลยเลือกเรียนเกษตร โดยทิ้งความฝันที่อยากเป็นนักกฎหมายน่ะเหรอ?” น้องมีนถามด้วยแววตาที่ใสซื่อของเด็ก
 
“ก็ใช่นะ! แต่ตอนนั้นพ่อเองก็ไม่รู้หรอกว่าที่จริงแล้วตัวเองอยากเป็นอะไร ตอนเลือกเรียนกฎหมายอาจเพราะเห็นในหนังว่ามันเท่ห์ดี แต่ความเป็นจริงมันไม่ได้เป็นกันง่ายๆ ยิ่งทะเลาะกับขิงก็ยิ่งทำให้รู้ว่าพ่อคงไม่เหมาะที่จะอยู่ในกฎระเบียบมากนัก เลยเลือกเรียนเกษตรน่ะ” ผมอธิบายให้น้องมีนฟัง
 
พอได้ย้อนเวลากลับมาในสมัยก่อน ทำให้ผมรู้ความจริงอย่างหนึ่งของงานในแต่ละยุคสมัยว่า แต่ละยุคมักจะมีเทรนด์ของอาชีพที่ไม่เหมือนกัน
 
ยุคที่ผมอยู๋ในช่วงวัยรุ่นนี้ทั้งผู้ใหญ่และเด็กๆรู้จักอาชีพไม่มาก ส่วนใหญ่จะรู้จักจากแบบเรียนและคำสอน ยุคนี้ส่วนใหญ่จึงอยากให้ลูกหลานรับราชการ เพราะมีอำนาจและมั่นคงเนื่องจากผู้คนในสังคมส่วนใหญ่เป็นภาคเกษตรกร จึงมองภาพของข้าราชการไว้สวยหรู
 
ผมเองตอนที่เลือกเรียนเกษตรและบอกกับที่บ้าน ก็ทำให้ที่บ้านตกใจเหมือนกัน ถึงแม้ว่าพ่อและแม่จะเป็นชาวสวน
 
“ร้อยวันพันปีไม่เห็นมันจะช่วยงานในสวน จะไปรอดไหมนี่!” พ่อของผมแอบกระซิบกับแม่
 
“นั่นสิ! ก่อนหน้านี้ก็อยากเป็นนักกฎหมายตอนนี้อยากเป็นนักเกษตร พรุ่งนี้อาจเปลี่ยนอีกก็ได้นะพี่” แม่ผมแสดงความคิดเห็น
 
“ก็ดีนะพี่! อย่างน้อยพี่เรียนจบก็กลับมาช่วยพ่อทำสวนที่บ้านได้ หรือไม่ก็เป็นเกษตรอำเภอที่บ้านเรา เท่ห์ระเบิดไปเลย!” น้องสาวผมเป็นคนเดียวที่เห็นดีเห็นงามกับความคิดนี้
 
พอได้ยินคำว่า “เกษตรอำเภอ” พ่อกับแม่ก็คิดขึ้นได้ว่าอาชีพนี้จะช่วยเป็นหน้าเป็นตาของตระกูลได้เหมือนกัน จึงเริ่มสนับสนุนความคิดของผม
 
แหม! ก็เพราะตอนนั้นพระเอกในหนังหลายคนก็เป็นเกษตรอำเภอ  ทำให้เกษตรอำเภอเป็นอาชีพที่เท่ห์ไม่หยอกเหมือนกัน
 
ส่วนตัวผมเองในตอนนั้น! ไม่ได้นึกถึงการเป็นเกษตรอำเภอหรือรักในการทำเกษตรเลย คิดอย่างเดียวว่าอยากพิสูจน์ตัวเองให้ขิงเห็นก็เท่านั้นเอง
 
ในตอนสอบเอ็นทรานซ์ ผมจึงเลือกมหาวิทยาลัยด้านเกษตรแห่งหนึ่ง ย่านบางเขน  ซึ่งอาจเป็นโชคดีที่คะแนนสอบของคนที่เลือกคณะนี้ไม่สูงมากหรือไม่ก็ผลการติวหนังสือกับขิงได้ผลดีเกินไป
 
ทำให้ผมสอบติด....และได้เรียนเกษตรสมใจ!
 
.............................
 
“แล้วพ่อไม่คิดถึงแม่ขิงเหรอ หนูว่าแค่ทะเลาะกันนิดหน่อย แค่ไปง้อก็ดีกันแล้วนะ ไม่เห็นต้องเลิกกันเลย” น้องมีนกระตุกแขนผมแล้วถาม ขณะที่เรากำลังเดิน
 
“คิดถึงสิ! ไม่ว่าจะเป็นตัวพ่อตอนนั้นหรือตอนนี้” ผมมองหน้าน้องมีนแล้วยิ้ม
 
“แต่การตัดสินใจและการกระทำบางอย่างมันย้อนกลับไปไม่ได้ ไม่แน่นะ! หลังจากดูความรักในอดีตครบทั้งห้าคนแล้ว บางทีพ่ออาจจะย้อนกลับไปทำให้เหตุการณ์ครั้งนั้นมันดีขึ้นก็ได้” ผมพูดกับน้องมีนแล้วพาเดินต่อ
 
หลังผ่านเหตุการณ์ย้อนความรักรอบที่แล้ว ผมและน้องมีนก็สนิทกันมากขึ้น ดูท่าทางแล้วน้องมีนเองก็ตื่นเต้นเหมือนกันว่าผมจะเลือกผู้หญิงคนไหนเป็นแม่ของเธอในอนาคต
 
ในที่สุดเราทั้งสองคนก็ถึงคณะที่ผมเรียน พอได้มองเห็นอาคารเรียนหลังเดิมท่ามกลางต้นไม้เขียวขจีอีกครั้ง ทำเอาความทรงจำและความรู้สึกเก่าๆของผมหลั่งไหลเข้ามามากมาย
 
 ตอนนี้ที่ลานหน้าคณะของผมกำลังทำการรับน้องกัน แน่นอนว่าตอนนั้น ระบบรับน้องแบบโซตัสได้เข้ามาเรียบร้อยแล้ว
 
“ร้องเสียงดังๆหน่อย! ไม่ได้กินข้าวกันมาหรือไง ใครร้องเสียงเบาไปวิ่งรอบสนามหนึ่งรอบแล้วกลับมาร้องใหม่!” พี่ว๊ากคนหนึ่งที่เป็นคนคุมกิจกรรมตะโกนขึ้น เพื่อให้น้องใหม่ร้องเพลงคณะดังขึ้น
 
พี่คนนี้ก็คือ “พี่ชัย” รุ่นพี่ปีสอง ที่ตอนหลังสนิทกับผมมาก
 
“พ่อ! ทำไมพี่คนนั้นต้องดุขนาดนี้ด้วย?” น้องมีนชี้ไปที่พี่ว๊ากคนนั้น
 
“อันนี้เป็นการรับน้องน่ะ เป็นเหมือนขั้นตอนการรับสมาชิกใหม่ เด็กมหาวิทยาลัยเชื่อว่าระบบโซตัสจะทำให้รู้จักเคารพผู้อาวุโสและรู้จักแรงกดดัน เพราะเมื่อจบไปจะเจอแรงกดดันจากการทำงานมากกว่านี้”ผมอธิบาย
 
“โห! ฟังดูดีนะนี่ สงสัยคนที่จบไปต้องกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งมากแน่ๆ” น้องมีนตาโต
 
“นั่นเป็นแค่แนวคิดที่อ้างกันมาน่ะ เพราะเอาเข้าจริงๆในสังคมมันมีแรงกดดันมากมายที่ระบบแบบนี้ไม่ได้สอน แถมการรับน้องมันเป็นการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และใช้เพื่อควบคุมผู้คนมากกว่า” ผมชี้แจงความเป็นจริงของระบบนี้ให้น้องมีนฟัง
 
ในยุคปัจจุบันที่ผมนอนป่วยอยู่ สังคมเริ่มต่อต้านการรับน้องด้วยระบบโซตัสแล้ว เพราะหลายๆที่ทำเกินกว่าเหตุและทำให้รุ่นน้องเสียชีวิต ที่สำคัญหลายสิบปีที่ผ่านมา ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าการรับน้องไม่ได้มีส่วนช่วยให้ชีวิตการทำงานราบรื่นขึ้น เพราะพี่ว๊ากที่คุมการรับน้องก็ยังตกงาน
 
“นั่นไง! พ่ออยู๋โน่น หนูเห็นแล้ว” น้องมีนชี้นิ้วไปทางผมที่กำลังนั่งอยู่ในแถว ที่ตอนนี้ใบหน้าเต็มไปด้วยสีและถูกผ้าผูกแขนติดกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ใบหน้าเลอะสีไม่แพ้กัน
 
“เอ๊ะ! ทำไมพ่อถึงถูกผูกแขนกับผู้หญิงด้วยล่ะ” น้องมีนถามขึ้นอย่างสงสัย
 
“นั่นคือคู่บัดดี้ของพ่อเอง! ตอนรับน้องเค้าจะจับคู่ให้เป็นเหมือนคู่หูตอนเรียนน่ะ” ผมอธิบายและคิดถึงคู่บัดดี้ของผมคนนี้มาก
 
ตอนนี้ถึงคราวที่ผมและคู่บัดดี้ต้องออกไปพรีเซนต์ชื่อตัวเองและทำท่าทางประกอบแบบตลกๆข้างหน้าแถว แต่เนื่องจากคู่บัดดี้ของผมลุกเร็วเกินไปข้อมือของเราทีผูกติดกันจึงรั้งเธอให้ล้มลงจนกระโปรงเปิด
 
“โห! สีเหลืองขมิ้นด้วยว่ะพวกเรา ไม่ต้องรับนะน้องปิดกระโปรงก่อนพวกพี่ไม่อยากเป็นตากุ้งยิง” เหล่ารุ่นพี่ที่ยืนรับน้องอยู่ เห็น กกน.ของเธอแล้วก็แซว ทำเอาผมรู้สึกไม่ดีที่ทำให้เธอต้องอับอาย
 
คู่บัดดี้ของผมรีบลุกขึ้นแล้วดึงผมให้ลุกขึ้นมาด้วย ก่อนทำสิ่งที่ทุกคนต้องตกใจ
 
“มองอะไร! ไม่เคยเห็นกันหรือไง ก็ออกมาจากที่เดียวกันไม่เห็นต้องอายเลย! แล้วไอ้พวกรุ่นพี่นี่นะ! ถ้าน้องสาวแกหรือพี่สาวแกกระโปรงเปิด จะแซวแบบนี้มั้ย! แทนที่จะเข้ามาช่วยหรือแก้ตัวให้น้องกลับมากหัวเราะเยาะกัน ถ้าชอบดูนัก! ก็กลับไปดูของแม่พวกแกไป!”
 
บัดดี้ของผมชี้หน้าด่ากราด จนทุกคนที่อยู่ตรงนี้เงียบสงัด ไม่มีใครกล้าพูดสักคน!
 
“สุดยอดเลยพ่อ! พูดแป๊บเดียวเงียบกันหมดเลย บัดดี้พ่อคนนี้ชื่ออะไรน่ะ หนูชอบๆ!” น้องมีนทำท่าตื่นเต้นและชอบใจเมื่อเห็นภาพดังกล่าว
 
“เอิ่มม! คำที่ไม่สุภาพก็อย่าจำนะลูกมันไม่ดี!” ผมยิ้มแห้งๆก่อนเอามือที่ปิดหูน้องมีนออก เพราะไม่อยากให้ได้ยินคำด่าเมื่อกี้ แต่คิดว่าไม่ได้ผล เพราะเสียงเมื่อครู่ดังระดับลำโพงงานวัดดีๆนี่เอง!
 
“เธอชื่อขวัญ! แต่หลังจากเหตุการนี้ คนทั้งคณะจะเรียกเธอว่า “ขมิ้น” และหนูต้องชอบเธออยู่แล้ว เพราะเธอเป็นว่าที่แม่ของหนูในอนาคตอีกคนหนึ่ง” ผมพูดพร้อมมองไปที่ขมิ้น ที่กำลังยืนนิ่งอย่างไม่กลัวใคร
 
“หา! คนนี้น่ะเหรอ ว่าที่แม่ของหนู!!!”
 
.............................................
 
ตอนต่อไป
ตอนที่ 9 ดาวคณะสาวห้าว