ย้อนอดีต ตามหา...แม่ของลูก
ตอนที่ 20 ความรักกับครอบครัว
บ้านของน้ำหวาน เป็นตึกแถวขนาดสามคูหาในตลาดที่หาดใหญ่ ชั้นล่างเปิดเป็นร้านขายของชำ ซึ่งสมัยก่อนก็ถือว่ามีฐานะดีในระดับหนึ่งเลยทีเดียว
 
ในสมัยตอนที่ผมเป็นแฟนกับน้ำหวานนั้น ครอบครัวชาวจีนบางส่วนยังมีค่านิยมที่ไม่ชอบลูกเขยหรือลูกสะใภ้คนไทยเพราะมองว่าคนไทยขี้เกียจ รักสบาย ชอบนอนตื่นสาย ผิดกับคนไทยเชื้อสายจีนที่ขยันทำงานและตื่นแต่เช้า
 
โดยเฉพาะลูกเขยคนไทยที่ชอบเที่ยวเตร่และเอาแต่ดื่มเหล้า
 
ดังนั้นหากครอบครัวไหนรู้ว่าลูกของตนมีแฟนเป็นคนไทยแท้ ก็จะถูกกีดกันทันที
 
“ป๊า! ม้า! นี่ธีย์เพื่อนของหนูค่ะ” น้ำหวานแนะนำผมกับครอบครัว ขณะที่พาผมเดินเข้ามาในร้าน โดยเธอพยายามเลี่ยงใช้คำว่าแฟนในการรู้จักครั้งแรก เพราะกลัวผมจะโดนไล่ออกมาตั้งแต่เจอกับครอบครัวของเธอ
 
“สวัสดีครับป๊า สวัสดีครับม้า ผมชื่อธีย์ครับ ทำงานที่เดียวกับน้ำหวาน” ผมยกมือไหว้และแนะนำตัวเอง
 
แต่ขิงยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ด ดูเหมือนพ่อและแม่ของเธอจะอ่านออกว่าเราเป็นมากกว่าเพื่อน
 
“อืมมม! ” พ่อของน้ำหวานมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าและพยักหน้า ส่วนแม่ยังรับไหว้แต่ก็ไม่ได้ยิ้มหรือพูดอะไร
 
สงสัยตอนเข้ามาที่บ้านน้ำหวาน ผมคงก้าวขาผิดหรือไม่ก็ลืมไหว้เจ้าที่มาแน่ๆ
 
“ป๊า ม้า ธีย์เค้าจบเกษตรและเก่งมากเลยนะ อีกไม่นานก็กำลังจะได้เลื่อนเป็นระดับผู้จัดการแล้ว” น้ำหวานพยายามพูดให้ผมดูดีขึ้น
 
“ก็แค่กำลังจะ แต่ยังไม่ได้เลื่อนตำแหน่งตอนนี้ถูกมั้ย!” พ่อของน้ำหวานพูดสวนขึ้นมาสั้นๆ แต่สายตามองผมแบบไม่ปล่อย ราวกับสิงโตที่กำลังจะขย้ำเหยื่อ
 
“แล้วที่บ้านทำมาหากินอะไร ลองเล่าให้ฟังหน่อยซิ?” พ่อของน้ำหวานถามผมต่อ
 
“ที่บ้านทำสวนครับ มีทั้งผักและผลไม้ วันนี้ผมเอามะม่วงของสวนที่บ้านมาฝากป๊ากับม้าด้วยครับ” ผมยื่นถุงมะม่วงที่เตรียมมาวางบนโต๊ะที่พ่อกับแม่ของน้ำหวานนั่งอยู่
 
แต่ยังไม่ทันได้วาง พ่อของน้ำหวานก็พูดสวนออกมา
 
“บ้านนี้ไม่ชอบกินมะม่วง เอากลับไปเถอะ!”
 
แหม! พูดจาไม่ถนอมน้ำใจกันตั้งแต่แรกเลยทีเดียว ทำเอาผมถึงกับสะดุ้งเมื่อได้ยิน
 
“ป๊า! อย่าทำอย่างนี้น่า ปีที่แล้วยังบ่นอยากกินมะม่วงอกร่องอยู่เลย มะม่วงที่สวนธีย์อร่อยกว่าในตลาดที่บ้านเราอีกนะ” น้ำหวานช่วยพูดแทนผมและเอื้อมมือมาหยิบถุงมะม่วงเลื่อนไปใกล้พ่อของเธอ
 
“นั่นมันปีที่แล้ว แต่ปีนี้ไม่อยากกิน!” พ่อของน้ำหวานปฏิเสธเสียงแข็งและส่งสายตาอำมหิตมาทางผมอีกรอบ
 
หลังจากดูแล้วว่าวันนี้ฤกษ์เปิดตัวของผมน่าจะไม่ค่อยดี ผมก็อยู่คุยต่ออีกไม่ถึงสิบนาทีก็ขอตัวไปพักที่โรงแรมใกล้ๆ โดยมีน้ำหวานเดินออกมาส่ง
 
“ธีย์! อย่าถือป๊ากับม้าเราเลยนะ ที่จริงบ้านเราใจดีมาก มีแค่เรื่องแฟนนั่นแหละที่แกไม่ยอมตามใจเรา ธีย์ต้องอดทนนะและพิสูจน์ให้ป๊ากับม้าเห็นว่า ลูกเขยคนไทยก็มีคนที่ขยันและเป็นคนดีเหมือนกัน” น้ำหวานพูดให้กำลังใจผม
 
“เราจะพยายามผ่านด่านป๊ากับม้าน้ำหวานไปให้ได้นะ ไม่ต้องห่วง” ผมจับมือน้ำหวานแล้วยิ้มปลอบใจเธอ
 
หลังจากวันนั้น ผมก็แวะเวียนมาเยี่ยมครอบครัวของน้ำหวานทุกวัน พร้อมของฝากติดไม้ติดมือมาให้พ่อกับแม่ของเธอ แต่จนแล้วจนรอดทั้งสองก็ทำเหมือนไม่อยากต้อนรับผม
 
จนหมดวันหยุดยาวและใกล้ถึงวันทำงาน เราสองคนจึงเดินทางกลับมาทำงานเหมือนเดิม
 
ตอนนั้นผมเริ่มรู้แล้วว่า ด่านครอบครัวของน้ำหวานคือกำแพงสูงที่ผมต้องก้าวข้ามไปให้ได้ด้วยการแสดงความจริงใจ
 
ซึ่งต่อมาทำให้ผมรู้ว่าผมคิดผิด!
 
เพราะเรื่องการแต่งงาน......มันไม่ได้ต้องการแค่นั้น!
 
........................................
 
ในตอนที่ผมเป็นแฟนกับน้ำหวาน ตอนนั้นเป็นยุคของเพจเจอร์เพราะ โทรศัพท์มือถือยังมีราคาแพงมาก ซึ่งเจ้าเพจเจอร์นี้เป็นเหมือนวิทยุติดตามตัวเล็กๆที่ไว้รับข้อความอย่างเดียว ไม่สามารถส่งข้อความได้
 
วิธีเดียวที่จะฝากข้อความก็คือต้องโทรที่ไป Call Center เพื่อให้เจ้าหน้าที่พิมพ์ฝากข้อความให้เรา
 
“สวัสดีค่ะ เพจเจอร์ยินดีให้บริการ กรุณาแจ้งหมายเลขเครื่องด้วยค่ะ”
 
“สวัสดีครับส่งข้อความไปที่หมายเลข 152362 ครับ”
 
“ยินดีค่ะ หมายเลข 152362 นะคะ ฝากข้อความได้เลยค่ะ”
 
“คืนนี้ท้องฟ้าไร้ดาว แต่หน้าหนาวนี้ไม่ไร้เธอ ช่วงนี้อากาศหนาว ห่มผ้าด้วยนะเดี๋ยวไม่สบาย คิดถึงนะจุ๊บๆ...จากธีย์ ”
 
“ฝากข้อความเรียบร้อยค่ะ ...........”
 
นี่แหละครับสมัยก่อน เวลาส่งข้อความหวานๆผ่านทางเพจเจอร์ก็ต้องรวบรวมความกล้า โทรไปบอกสาวๆที่ Call Center เพื่อพิมพ์เข้าระบบฝากข้อความ บางทีข้อความยาวเกินไปก็จะถูกสกัดดาวรุ่งให้กระชับสั้นลง บางคนเหงามากๆก็โทรเข้ามาแล้วจีบพนักงาน Call Center โดยไม่ฝากข้อความถึงคนอื่นก็มี
 
ผมว่าช่วงนั้นสาวๆที่ทำงานแบบนี้ ถ้าไม่เป็นโรคเบาหวานจากคำหวานๆก็คงรู้ทันมุกของผู้ชายยุคนั้นหมดแน่ๆ
 
บางครั้งผมต้องห่างจากน้ำหวานเพราะกลับบ้านหรือไปดูงานจังหวัดอื่น ก็ได้เจ้าเพจเจอร์นี่แหละครับ ที่เอาไว้สื่อสารกันแทนความคิดถึงและใช้ง้อกันช่วงที่เราทะเลาะหรือโกรธกัน
 
ก็เป็นธรรมดาของคนที่เป็นแฟนกัน เราสองคนก็มีทะเลาะกันบ้างตามประสา ซึ่งเรื่องหลักๆที่ทำให้เราต้องทะเลาะกันก็คงไม่พ้น....เรื่องครอบครัวของเธอ
 
“ดูตัวอีกแล้วหรือ! ทำไมน้ำหวานไม่บอกกับที่บ้านไปตรงๆล่ะ! ว่ามีแฟนแล้ว” ผมอารมณ์เสียเมื่อได้ยินน้ำหวานบอกว่าต้องกลับบ้านไปดูตัวอีก หลังจากเราสองคนคบกันได้ห้าปี
 
“ถึงไม่พูดป๊ากับม้าเค้าก็ดูออกนะธีย์ ว่าเราเป็นแฟนกัน เราก็แค่ไปให้เค้าสองคนสบายใจเท่านั้น” น้ำหวานอธิบาย
 
“เรารู้นะว่าที่บ้านน้ำหวานไม่อยากได้ลูกเขยเป็นคนไทย เราก็พยายามทำทุกอย่างแล้ว แต่มันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง” ผมพูดด้วยความน้อยใจกับน้ำหวาน
 
ผมทำงานที่นี่กับน้ำหวานได้เจ็ดปีแล้ว สองปีแรกเราเป็นแค่เพื่อนร่วมงาน หลังจากนั้นห้าปีหลังจากนั้นก็พัฒนาความสัมพันธ์เป็นแฟนกัน
 
ทุกปี! ครอบครัวของเธอจะมีการติดต่อให้เธอไปดูตัว โดยเฉพาะหลังจากเจอผม ดูเหมือนจำนวนครั้งในการดูตัวในแต่ละปีจะมากขึ้นเรื่อยๆ
 
แม้ผมจะมั่นใจในความรักของน้ำหวาน ว่าเธอรักผมและไม่ได้มองผู้ชายที่ฐานะ แต่ก็อดคิดไม่ได้เพราะครอบครัวของเธอไม่ได้คิดเหมือนกัน
 
จนกระทั่งวันหนึ่ง!
 
น้ำหวานได้รับข้อความทางเพจเจอร์ว่า
 
“กลับบ้านด่วน! ป๊าเข้าโรงพยาบาล!”
 
นั่นคือจุดเริ่มต้น! ที่ทำให้ผมกับน้ำหวานต้องเลิกรากัน
 
..................
ตอนต่อไป
ตอนที่ 21 ใจสั่งลุย