สวัสดี...กลิ่นฤดูแห่งความรัก
ตอนที่ 3 จุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลง
นั่นก็แค่ที่มาของชื่อฉัน ส่วนเรื่องรักโรแมนติกของแม่กับพ่อนั้นแค่เป็นน้ำจิ้ม ซึ่งพล็อตเรื่องก็อาจทำให้คุณรู้สึกเหมือนนิยายรักเรื่องหนึ่ง
 
เอิ่มมม...ก็เรากำลังอ่านนิยายนี่เนอะ! อย่าคิดมากเลย มาฟังเรื่องของฉันกันต่อดีกว่า
 
อะไรนะ! เรื่องความรักของพ่อและแม่ฉัน ดูน่าสนใจกว่าเรื่องของฉันอย่างนั้นหรือ?
 
ใจร่มๆนะพี่น้อง...รับรองว่าเรื่องของฉันน่าสนใจไม่แพ้กันแน่นอน
 
ก็เรื่องนี้ฉันเป็นนางเอกยังไงเล่า...ถูกมั้ย ฮ่าๆๆ
 
ถึงฉันจะไม่ค่อยชอบชื่อนี้ แต่พอรู้เหตุผลก็คงโกรธพวกท่านไม่ลง ว่าทำไมถึงตั้งชื่อลูกว่า “ปอเทือง” เพราะคงไม่มีใครรู้ว่าชื่อนี้ จะทำให้ลูกสาวตัวเองถูกบูลลี่ในอนาคต
 
บูลลี่ (Bully) ก็คือ พฤติกรรมรุนแรง กลั่นแกล้ง รังแกผู้อื่นทั้งทางวาจาและร่างกาย โดยเฉพาะจิตใจที่ถูกบูลลี่มาเป็นเวลานานๆ มันอาจทำให้เกิดบาดแผลทางจิตใจไปตลอดชีวิต
 
ขนาดฉันที่ถูกเลี้ยงมาด้วยทัศนคติที่ดีของครอบครัว บางทีก็ยังทนไม่ได้
 
ซึ่งแค่โดนล้อว่าเทือง หรือประเทืองตอนเด็กๆก็ยังไม่เท่าไหร่ เพราะตอนเด็กๆฉันตัวหนาเหมือนเด็กผู้ชาย พอใครล้อหรือบูลลี่ ฉันก็แค่เอามือไปช่วยปัดแมลงแถวๆหน้า จนตาเขียวกลับไป
 
ไม่ได้ใช้ความรุนแรงนะ! ต่างจังหวัดแมลงมันเยอะ! แถมชอบมาตอมหน้าเด็กๆที่มาบูลลี่ฉันซะด้วย หุหุ
 
ส่วนผู้ใหญ่ที่ชอบมาบูลลี่ ฉันก็ไปฟ้องยาย ซึ่งแม่นาตาชา โรมานอฟของฉันก็ไม่รอช้า จัดชุดใหญ่ไฟกระพริบกลับไปทุกที ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ฉันกับยายสนิทกันมาก
 
แต่พอเริ่มเข้ามัธยมต้นนี่ไม่ไหวจะเคลียร์จริงๆ เพราะการบูลลี่นั้นมันมีหลายรูปแบบและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นชื่อพ่อ ชื่อแม่ ชื่อบรรพบุรุษและอีกมากมายที่จะเอามาบูลลี่กัน โดยเฉพาะหากใครที่มีจุดด้อยทางร่างกายแล้วละก็ รับรองว่าคุณจะกลายเป็นพื้นที่สาธารณะของการบูลลี่แน่นอน
 
ฉันในตอนที่เข้ามาเรียนชั้นมัธยมปีที่ 1 ร่างกายที่ค่อยๆโตก็หยุดโตซะอย่างนั้น แต่ดันขยายด้านข้างแทน ตัวก็คล้ำ สิวก็มี แถมยังสายตาสั้นแบบสุดๆ จนต้องใส่แว่นสายตาหนาเตอะ
 
กว่าจะรู้ตัวเอง ฉันก็ถูกจัดอันดับชนชั้นล่าง ของห่วงโซ่อาหารในโรงเรียนไปเรียบร้อย
 
“เธอชื่อปอเทือง ที่มาจากประเทืองหรือเปล่า สรุปว่าเธอเป็นผู้ชายใช่มั้ย?” เสียงแซวตะโกนดังจากเด็กผู้ชายคนหนึ่งในห้อง เมื่อฉันลุกขึ้นแนะนำตัวในวันแรก
 
และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของฝันร้ายในโรงเรียนของฉัน
 
แรกๆฉันก็ใช้มุกเดิมคือพยายามปัดแมลงบริเวณใบหน้าของคนที่ชอบมาล้อเลียน จนตาเขียวกลับไป แต่กลไกของโรงเรียนก็มีครูเป็นผู้คุมกฎ ฉันจึงโดนเชิญผู้ปกครองตามระเบียบ
 
ซึ่งแน่นอนผู้ช่วยคนเก่งของฉันก็คือยายที่มาจัดการเรื่องให้ตามเดิม ยายจึงจัดชุดคอมโบเซ็ทแบบเบาะๆ ให้เด็กผู้ชายคนนั้นและผู้ปกครอง พร้อมเผื่อแผ่ไปถึงจนครูประจำชั้น ที่ควรเอาใจใส่เด็กมากกว่านี้
 
หลังจากเชิญผู้ปกครองเสร็จเรื่องควรจะจบ แต่กลับไม่จบแบบเดิมที่ฉันคิด
 
ชื่อเสียงของฉันกับยายโด่งดังขึ้นทันที และกลับกลายเป็นฉันที่ถูกบูลลี่หนักกว่าเดิม
 
เด็กผู้ชายคนนั้นรวบรวมกลุ่มเพื่อนในห้องล้อฉันอย่างสนุกปากหนักกว่าเดิม ว่าเป็นเด็กขี้ฟ้อง ลูกแหง่ ติดยาย ฯลฯ
 
และเริ่มลามมาถึงรูปลักษณ์และลักษณะทางกายภาพของฉัน
 
ตุ่มมีขา, ถังน้ำเดินได้, กลิ้งงับๆ ฯลฯ....สุดแท้แต่จะสร้างสรรค์กัน
 
พอฉันไปฟ้องครู ครูก็จะแค่เรียกเด็กพวกนั้นมาดุ แล้วก็ไม่สนใจอีก
 
ยิ่งฉันตอบโต้ เด็กพวกนั้นก็ยิ่งสนุกและเรื่องก็ขยายออกไป กลายเป็นเด็กทั้งโรงเรียนสนุกกับการบูลลี่ฉัน
 
มีลูกมีหลานช่วยสอนกันหน่อยเถอะว่าอย่าทำแบบนี้ เพราะคนที่ถูกบูลลี่ไม่ได้สนุกด้วย ผู้ใหญ่เองก็คงไม่รู้ว่าเรื่องการบูลลี่สำหรับเด็กในโรงเรียนมันไม่ใช่เรื่องเล็ก
 
เพราะมันอาจ....ทำให้ชีวิตเด็กคนหนึ่งพังทลายลงได้
 
ช่วงแรกๆ ฉันก็ยังฟ้องยาย แต่พอเริ่มถูกบูลลี่หนักขึ้นเพราะยาย ฉันก็เลยได้แต่ทนและไม่กล้าบอกที่บ้านอีก
 
มีคนเคยบอกว่า “คนที่ชอบบูลลี่คนอื่น แท้จริงแล้วพวกเขามีความบกพร่องและอ่อนแอ จึงอยากแสดงอำนาจกับผู้ที่อ่อนแอกว่า”
 
วิธีเดียวที่เอาชนะการบูลลี่ได้ก็คือ “คุณต้องแข็งแกร่งและห้ามอ่อนแอ”
 
ซึ่งไม่รู้ว่ามันใช้ได้หรือไม่ แต่กับเด็กอย่างฉันมันยากที่จะทำตัวให้เข้มแข็งในภาวะแบบนี้
 
ฉันต้องฝืนไปโรงเรียนทุกวันและต้องกลับมาพร้อมความสดใสเพื่อไม่ให้ที่บ้านเป็นห่วง ผลการเรียนที่อยู่ระดับกลางๆก็เริ่มตกลงเรื่อยๆจนแทบอยู่อันดับบ๊วย
 
ดูเหมือนแม่กับยายจะสังเกตเห็นความผิดปกติของฉัน เพราะบางวันฉันแอบเห็นยายปลอมตัวมาเป็นภารโรงเพื่อสืบข่าว
 
แหม! ยายก็ปลอมตัวซะหลานจำไม่ได้เลยนะ
 
ทั้งสองคนถามเรื่องในโรงเรียนอยู่เสมอ พอรู้ว่าฉันไม่อยากเล่า ก็พยายามทำตัวเหมือนเดิม เพราะไม่อยากให้ฉันรู้สึกอ่อนแอ
 
ฉันเคยคิดเสมอว่าอยากลาออกและหนีไปจากสังคมโรงเรียนแบบนี้
 
แต่คิดอีกที ถ้าฉันเจอปัญหาแล้วคิดแต่จะหนี ชั้นคงโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่แบบนั้น
 
ฉันจึงตั้งใจว่าจะเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเอง
 
แรงบันดาลใจของฉันก็มาจากหนังไทยเรื่องหนึ่งที่นางเอกเป็นเด็กมัธยมใส่แว่น ตัวดำแล้วหลงรักรุ่นพี่สุดหล่อ จนทำทุกอย่างแล้วกลายเป็นคนสวย
 
ใช่แล้ว! เรื่องราวของน้องฟ้าใสและพี่ลุกโชน จากหนังเรื่อง “สิ่งไม่เล็ก...ที่หาไม่เจอ” อันโด่งดัง
 
โดยเฉพาะฉากคลาสสิคที่เพื่อนๆเอามะขามเปียกมาช่วยขัดผิว
 
คงไม่ต้องบอกว่าฉันจะให้ใครมาช่วยขัด
 
“โอ๊ย! ยายเบาๆหน่อย แขนหลานนะไม่ใช่ไม้ตะเคียนขอหวย ยายขัดจนเลขจะขึ้นอยู่แล้ว” ฉันร้องโวยวายขณะที่เริ่มทำภารกิจวันแรก
 
“มันใกล้วันหวยออกแล้ว ก็เลยคิดว่าน่าจะแทนกันได้” ยายยิ้มอ่อน แต่มองที่แขนของฉันตาเป็นมัน
 
“เลขเริ่มมาแล้ว เทืองเอ๊ย! เอาแป้งลงเพิ่มหน่อยนะ เดี๋ยวถูกยายแบ่งให้” ยายไม่พูดเปล่าหยิบแป้งกระปุกใหญ่ เทลงที่แขนอย่างชำนาญ
 
“โห! ยายดูมืออาชีพมากเลยนะ อย่าบอกนะว่าที่ชอบไปวัดเพราะไปทำแบบนี้?”
 
“ยายทำแบบนี้ ตอนหลวงพ่อท่านไม่อยู่วัดแค่นั้นแหละ” ยายพูดตอบ พลางถูแป้งอย่างประณีต
 
“แล้วถ้าหลวงพ่ออยู่ล่ะ ยายจะฟังท่านเทศน์หรือ?”
 
“ไม่หรอก! ถ้าท่านอยู่ยายก็ขอท่านตรงๆเลย งวดที่แล้วท่านก็ให้แม่นนะ .............” ยายพูดไปขัดไป
 
ฉันขัดผิวกับยายจนแสบตัวไปหมด ผิวก็ไม่ได้ดูขาวขึ้นเลย สงสัยแค่ครั้งแรกคงไม่เห็นผล แต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีครั้งที่สองหรือไม่ เพราะนอกจากยายจะขัดเพื่อหาเลขไปด้วยนั้น ตอนขัดผิวด้วยมะขามเปียกยายยังทำน้ำลายไหลอยู่ตลอดเวลา
 
สงสัยจะเปรี๊ยวปาก! เพราะฉันแอบเห็นยายหยิบเกลือมาไว้ข้างๆ นี่ยายคงไม่ได้คิดจะกินหลานตัวเองจิ้มเกลือใช่ไหม?
 
เฮ้อ! ยายฉัน….
 
เรื่องราวก็ดำเนินต่อไป...จนในที่สุดก็ถึงวันที่ฉันรอคอย นั่นก็คือ แท่! แด่น!
 
วันสุดท้ายที่ฉันเรียนจบชั้นมัธยมต้น
 
เย้! จบแล้วๆ นี่ฉันอดทนมาได้ถึง 3 ปี ไม่ธรรมดาจริงๆ
 
แต่แม้วันสุดท้ายที่รับใบประกาศ ฉันก็ยังต้องเสียน้ำตา เพราะโดยปกติวันนี้ทุกคนจะวิ่งเอาปากกามาเขียนเสื้อกัน
 
แต่ไม่มีใครมาเขียนเสื้อของฉันและพวกเค้าก็ไม่ให้ฉันเขียนเสื้อของเขา
 
ทำกันได้...จนวันสุดท้ายเลย!
 
ตอนเดินกลับบ้านฉันก็เดินกลับอย่างหงอยเหงาและท้ายสุดน้ำตาที่ไม่เคยร้องไห้ตลอด 3 ปีก็ไหลออกมา เพื่อระบายความอัดอั้นทั้งหมด
 
ฉันเดินไปร้องไห้ไป และเดินไปเรื่อยๆจนถึงสี่แยกแห่งหนึงโดยไม่รู้ตัว
 
ทันใดนั้นเอง!
 
เรื่องราวจุดเปลี่ยนของชีวิตฉันก็มาถึง
 
เพราะ...รถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่ง !!!
 
...................................
 
 
 
ตอนต่อไป
ตอนที่ 4 บุคคลลึกลับ