สวัสดี...กลิ่นฤดูแห่งความรัก
ตอนที่ 2 ปอเทือง
หลังจากแม่ เดินทางจากบ้านไปทำงานที่กรุงเทพ ช่วงนั้นประเทศไทยกำลังคึกคักเพราะเศรษฐกิจกำลังเติบโตมาก
 
ที่ดินได้ราคาสูงลิ่ว จนชาวบ้านทยอยขายกันเกือบหมด หนุ่มสาววัยทำงานต่างมุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเทพเพื่อหางานทำ บ้างก็ไปเป็นหนุ่มสาวโรงงานเพราะได้เงินดีกว่าทำไร่ทำสวน จนเหลือคนทำเกษตรจริงๆไม่มากนัก
 
และพ่อของฉันก็คือหนึ่งในผู้คนจำนวนน้อยที่ยังคงทำเกษตรต่อแม้จะจน
 
สมัยก่อนนั้น จะทำไร่ทำนาต้องใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงเยอะๆ ถึงจะได้ผลผลิตที่ดี ชาวไร่ชาวนาที่เหลืออยู่ก็ต้องกู้หนี้ยืมสินมาซื้อของเหล่านี้ ขายผลผลิตได้ก็ออกรถป้ายแดง ซื้อของฟุ่มเฟือย จนเป็นหนี้สะสมมากมาย
 
เรื่องราวในชีวิตบางครั้งในความเลวร้าย ก็มีความโชคดีอยู่บ้าง
 
ด้วยความที่พ่อจนไม่มีเงินซื้อปุ๋ยและยาฆ่าแมลงเหมือนคนอื่น พ่อก็เริ่มใช้วิธีธรรมชาติ ทำปุ๋ยหมักเอง กำจัดแมลงด้วยสมุนไพรพื้นบ้านง่ายๆ ลองผิดลองถูกเรื่อยมา แต่ก็ยังได้ผลผลิตไม่เท่าคนอื่นซึ่งพ่อก็ไม่ท้อและอดทนเรื่อยมาตลอด และเฝ้ารอคอยแม่อยู่ทุกวัน
 
ส่วนแม่หลังจากที่มาทำงานเป็นเสมียนในบริษัทเพื่อนของตา ด้วยความที่เพราะตาฝากฝังมา ก็พักอยู่ที่บ้านของเพื่อนตาคนนี้ เพื่อนของตาและภรรยาก็รักแม่เหมือนลูกคนหนึ่งคอยดูแลและเอาใจใส่ตลอด แต่แม่ก็ไม่ได้มีความสุขมากนัก กรุงเทพอาจเป็นเมืองที่วุ่นวายเกินไปในความรู้สึกของแม่ ทั้งรถติด ผู้คนที่รีบเร่งไปทำงาน รวมถึงการโดนหนุ่มๆแวะเวียนมาขายขนมจีบซาลาเปาตลอด
 
ซึ่งแม่ไม่เคยสนใจ
 
สิ่งเดียวที่ปลอบประโลมหัวใจของแม่ได้ก็คือดอกปอเทืองที่พ่อเคยให้ แม่ใส่มันไว้อย่างดีในหนังเล่มหนึ่งที่แม่ชอบอ่าน จนกลายเป็นดอกไม้แห้งที่เหมือนเป็นสมบัติชิ้นหนึ่งของแม่
         
ตาไม่ให้แม่กลับมาเยี่ยมที่บ้าน บอกว่าเป็นผู้หญิงเดินทางคนเดียวอันตราย แต่แท้จริงแล้วตาหวังดีอยากให้แม่สร้างชีวิตที่กรุงเทพ เพราะในความคิดตาที่ต่างจังหวัดนั้นไม่มีอะไรที่สู้กรุงเทพได้
           
แม่เคยบอกว่าที่ไม่ได้ติดต่อพ่อ เพราะไม่อยากให้พ่อต้องรออย่างไม่มีความหวัง เพราะตอนนั้นแม่เองก็คงขัดตาไม่ได้
 
อย่างที่ฉันเคยบอก บางทีเมื่อชีวิตเราเจอเรื่องเลวร้าย แล้วเจอเรื่องเลวร้ายอีกเรื่องซ้ำอีก
ชีวิตก็อาจจะไม่ได้เลวร้ายคูณ 2 แต่อาจจะกลายเป็นโชคดี
 
หลังแม่ไปทำงานที่กรุงเทพ ไม่กี่ปีต่อมา....ประเทศไทยก็เข้าสู่วิกฤติต้มยำกุ้ง บริษัทที่แม่ทำงานอยู่ปิดตัวลง เหมือนกับหลายบริษัทอีกมากมายในยุคนั้น
 
แม่ผู้ที่จากบ้านเกิดด้วยความไม่เต็มใจ กำลังเดินทางกลับบ้านโดยไม่บอกใคร พร้อมถือดอกไม้แห้งดอกหนึ่งไว้ในมือตลอดเวลา
 
ดอกไม้แห่งการรอคอยของผู้ชายคนหนึ่ง
 
แม่ไม่กล้าตรงไปหาพ่อที่บ้าน เพราะไม่รู้ว่าพ่อยังรออยู่หรือไม่
ไม่มีการส่งข่าว ไม่มีการติดต่อ แต่คำพูดของพ่อในวันนั้นยังเด่นชัดอยู่ แม้ในวันนี้
 
แต่ถึงจะลังเล  ท้ายสุดแม่ก็ถึงที่หน้าบ้านของพ่อจนได้
 
บ้านหลังเล็กๆที่อยู่บนเนินเขา ที่ด้านหน้ามีนาข้าว มันดูอุดมสมบูรณ์มากกว่าเมื่อก่อน มีผัก มีต้นไม้หลายชนิด
 
แต่...ไม่มีดอกปอเทืองที่พ่อเคยสัญญา
 
แม่มองดอกปอเทืองที่แห้งเหี่ยวในมือแล้วร้องไห้ออกมา หยดน้ำตาที่ไหลออกมาจากตาคู่เดิมเหมือนตอนที่เคยได้รับดอกไม้ดอกนี้ เพียงแต่ความหมายมันต่างกันโดยสิ้นเชิง
 
หลังร้องไห้อยู่นาน แม่ก็พาตัวเองออกจากบ้านพ่อไปเรื่อยๆ  นานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ที่เดินออกมารู้ตัวอีกทีแม่ก็เจอทุ่งปอเทืองที่ชาวบ้านปลูกไว้ห่างจากบ้านของพ่อเกือบ 5 กิโล
 
“เขาคงจะลืมฉันไปแล้วจริงๆ” แม่นั่งดูทุ่งดอกปอเทืองเบื้องหน้าแล้วร้องไห้อีกครั้ง หลังมองดอกไม้แห้งในมือเป็นครั้งสุดท้าย แม่ก็ตัดสินใจโยนทิ้งลงไปในทุ่งปอเทือง
 
ทันใดนั้น!
 
“เธอกลับมาเมื่อไหร่?” เสียงคุ้นเคยเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นด้านหลัง แม่หันกลับไปมองตามเสียงแล้วก็พบชายที่เคยให้คำสัญญาว่าจะรอพร้อมดอกปอเทืองคนนั้น กำลังยืนอยู่พร้อมกับผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังอุ้มลูก
 
“สุดท้ายแล้วเค้าก็ไม่ได้รออีกต่อไป” แม่คิดในใจแล้วก็เดินออกมาโดยไม่พูดอะไร เหมือนวันที่แม่เคยจากไปที่กรุงเทพ
 
“เดี๋ยว! รอก่อน เธอจะเดินหนีทำไม?” พ่อวิ่งตามพร้อมกับคว้าแขนแม่ ด้วยความอัดอั้นด้วยความรู้สึกแม่จึงตัดสินใจที่จะหันกลับว่าต่อว่าพ่อว่าไม่รักษาสัญญา แต่หันกลับยังไม่ทันได้พูดอะไร
 
พ่อก็ดึงแม่มากอด จนแม่ตกใจและลืมคำที่จะต่อว่าไปจนหมด
 
แหม! นี่มันพระเอกซีรีย์ชัดๆ
 
“ฉันรอคอยเธอมานานมาก แล้ววันนี้เมื่อเธอกลับมา ทำไมเธอถึงจะหนีฉันอีก” พ่อยิงก่อนหนึ่งประโยค
 
“เธอ....” แม่กำลังจะถามต่อ
 
“เธอคงไปที่บ้านฉันมาแล้ว และไม่เห็นดอกปอเทืองตามที่สัญญาใช่ไหม เลยคิดว่าฉันไม่ได้ทำตามสัญญา” พ่อพูดต่อ
 
“ฉัน...” แม่กำลังจะถามต่อ
 
“ทุ่งปอเทืองที่เธอกำลังจะทิ้งดอกไม้ที่ฉันเคยให้ มันคือที่ดินที่ฉันเก็บเงินซื้อเพิ่ม แล้วปลูกดอกปอเทืองเพื่อรอเธอ ”
 
“เพราะฉันคิดถึงเธอมาก ทุกครั้งที่คิดถึงฉันจะปลูกปอเทือง 1 ต้น และทุ่งปอเทืองผืนนี้คงจะบอกได้ว่าฉันคิดถึงเธอมากแค่ไหน” พ่อคลายอ้อมกอดแล้วจับตัวแม่เบาๆ ให้ดูทุ่งดอกปอเทืองที่พ่อพยายามปลูกตลอดมา
 
แม่ค่อยๆมองออกไปอย่างละเอียดแล้วพบว่ามันเป็นทุ่งปอเทืองสีเหลืองสวยงาม ที่ยาวสุดลูกหูลูกตา และตรงกลางทุ่งปอเทืองมีรูปหัวใจสีแดงที่ปลูกด้วยต้นกุหลาบ
 
“แล้ว...”แม่กำลังจะถามต่อ
 
“ผู้หญิงอุ้มเด็กที่ยืนข้างๆที่เธอเห็น เป็นคนงานของฉันเองแฟนของเขาก็ทำงานกับฉัน”
 
“ฉันจะไปมีใครได้ เพราะหัวใจของฉันเป็นของเธอคนเดียว” พ่อพูดกับแม่เบาๆ โดยเฉพาะประโยคสุดท้าย ที่พูดเบาๆแต่ทำเอาสั่นสะเทือนไปทั้งตัว โดยเฉพาะหน้าของแม่ที่แดงเป็นลูกตำลึง
 
ขนาดฉันฟังมาหลายรอบก็ยังเคลิ้ม ถ้าฉากตอนนี้เป็นหนังอินเดีย พ่อกับแม่ของฉันคงไปวิ่งไล่จับกันในทุ่งปอเทืองแล้วข้ามเขาไปอีกหลายลูก
 
เมื่อปรับความเข้าใจกันเรียบร้อย พระเอก นางเอก เอ้ย! พ่อกับแม่ก็ไปคุยกับยายและตาเพื่อสู่ขอและแต่งงานกันอย่างมีความสุข
 
และฉากพระนางปรับความเข้าใจกันที่ทุ่งปอเทืองนั้น เป็นฉากที่พ่อฉันจำได้ไม่มีวันลืม เพราะเป็นวันที่พ่อได้พูดมากกว่าแม่เป็นวันสุดท้าย เพราะหลังแต่งงานบทนี้ก็สลับกัน
 
แล้วไหนว่าตาหวง ทำไมยอมให้แต่งกันง่ายๆ?
 
คุณกำลังตั้งคำถามนี้ใช่ไหม เรื่องนี้อธิบายได้ไม่ยาก
 
เพราะบริษัทของเพื่อนตาที่แม่ไปทำงานแล้วปิดตัวลงนั้น ตาแกมีร่วมลงทุนไปด้วยมากพอสมควร
พอบริษัทปิดปุ๊บ ตาก็หมดเงินปั๊บ
 
ส่วนพ่อของฉันพอไม่ใช้สารเคมี ผลผลิตก็เริ่มขายได้ราคามากขึ้น เพราะตอนนั้นกระแสเรื่องผักปลอดสารก็เริ่มเข้ามาบ้าง ทำไปทำมาก็เลยกลายเป็นเสี่ยย่อมๆ มีเงินซื้อที่มาปลูกปอเทืองจีบสาวเล่น
 
พอแล้วนะ........ก็บอกว่าพอแล้ว
 
ไม่!....ฉันไม่ได้หมายถึงพวกคุณ
 
แต่หมายถึงยายของฉันนี่แหละ ที่หลังจากช่วงชุลมุนแย่งหมูกันจนหมดจาน ก็ทำท่าจะแอบกินทุเรียนต่อ
 
โถ! แม่อดีตสายลับสาวของฉัน
 
และคงไม่ต้องอธิบายอะไรมากเกี่ยวกับชื่อของฉัน ว่าทำไมถึงชื่อ “ปอเทือง”เพราะมันเกี่ยวข้องและมีความหมายกับพ่อและแม่ขนาดนี้
 
ทำไมตอนนั้นพ่อไม่ให้ดอกกุหลาบนะ?
 
ชั้นจะได้ชื่อโรส หรือดอกเดซี่จะได้มีชื่อที่ดูอินเตอร์หน่อย
 
เอาวะ! “ปอเทือง”....”ก็ปอเทือง”
 
เพราะอย่างน้อย ชื่อนี้ก็ทำให้ฉันเปลี่ยนแปลงและได้มาถึงจุดนี้
 
เดี๋ยวตอนหน้า....ฉันเล่าให้ฟังนะ
 
................................................
ตอนต่อไป
ตอนที่ 3 จุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลง