ย้อนอดีต ตามหา...แม่ของลูก
ตอนที่ 21 ใจสั่งลุย
ผมจำช่วงนี้ได้เป็นอย่างดี ตอนนั้นผมอายุ 30 ปี พ่อของน้ำหวานเข้าโรงพยาบาลในช่วงปลายปี ซึ่งตรงกับปี 2539
 
เพราะปี 2540 คือปีที่ชีวิตผมพลิกผันมากที่สุด จนทำให้มีชีวิตล้มเหลวเหมือนปัจจุบัน
 
ในช่วงปี 2539 เริ่มมีการโจมตีค่าเงินบาท ตอนนั้นเศรษฐกิจของประเทศเริ่มมีสัญญาณบางอย่างส่งเตือนมาบ้างแล้ว เช่นค่าเงินบาทที่แข็งมากจนสินค้าส่งออกราคาสูงกว่าประเทศอื่น ทำให้ธุรกิจส่งออกเริ่มมีปัญหา ส่วนในประเทศเองอัตราเงินเฟ้อก็สูงมาก ทำให้เงินที่มีอยู่ซื้อของได้น้อยลง
 
ทั้งหมดเป็นสัญญาณก่อนจะเข้าสู่วิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540
 
ตั้งแต่น้ำหวานกลับมาจากเยี่ยมพ่อของเธอ ผมก็รู้สึกว่าเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อยแต่ก็อธิบายไม่ถูก
 
จนถึงปี 2540 หลังรัฐบาลประกาศลอยตัวค่าเงินบาท
 
น้ำหวานก็ขอลาออกจากงานเพื่อกลับไปช่วยงานที่บ้าน
 
“ทำไมไม่บอกเราว่าลาออก เกิดอะไรขึ้น?” ผมทั้งตกใจและโมโหน้ำหวานที่เธอลาออกกระทันหันและไม่บอกกับผม
 
“ธีย์! เราตัดสินใจแล้ว ที่เราไม่บอกเพราะรู้ว่าธีย์คงจะห้ามเรา แต่ยังไงเราก็ต้องกลับบ้านตอนนี้”น้ำหวานตอบผม
 
“เราเป็นแฟนกันนะ มีอะไรน้ำหวานก็บอกธีย์สิ จะได้ช่วยกันแก้ไข” ผมโมโหมากขึ้น เมื่อได้ยินคำตอบ
 
“ป๊า!เราป่วยเข้าโรงพยาบาลอีกรอบ ม้าก็เครียดไปด้วยต้องไปดูแลป๊าและดูแลร้านด้วย เราต้องกลับไปช่วยที่บ้านแล้วธีย์” น้ำหวานตอบผมอีกครั้งและเริ่มร้องไห้
 
“แล้วเรื่องของเราล่ะ! ไหนน้ำหวานบอกว่าปีนี้เราจะแต่งงานกันไง” ผมถามถึงสัญญาแต่งงานที่เราได้คุยกันไว้
 
“ธีย์! นี่มันใช่เวลาที่จะมาถามถึงเรื่องนี้เหรอ เราผิดหวังในตัวธีย์มากนะ” น้ำหวานร้องไห้และวิ่งกลับไปที่บ้านพักของเธอ ส่วนผมยืนมองเธอด้วยอารมณ์โกรธ
 
วันรุ่งขึ้นน้ำหวานก็เก็บของและกลับบ้าน เธอแจ้งที่ทำงานว่าพ่อป่วยหนักจึงต้องขอกลับด่วน ซึ่งที่ทำงานก็ไม่รั้งไว้ให้เธออยู่ครบ 30 วันตามกฎ เพราะตอนนี้ทางสวนส้มเองก็ส่งออกไม่ได้และไม่ค่อยมีงานให้คนงานเช่นกัน
 
ผมเสียใจมากที่รู้ว่าเช้าวันนั้นน้ำหวานหนีผมกลับบ้านโดยไม่บอกกันก่อน เนื่องจากตอนนั้นเรายังไม่มีโทรศัพท์มือถือ ผมจึงทำได้แค่ฝากข้อความในเพจเจอร์ของเธอ
 
แต่เธอก็ไม่เคยโทรกลับมาหาผมที่ทำงานเลย
 
ช่วงนั้นผมดื่มเหล้าทุกวันเพราะความเสียใจ จนทำให้กระทบกับเรื่องงาน ทั้งนอนตื่นสาย แอบหลับ จิตใจและร่างกายไม่พร้อมทำงาน
 
และเมื่อความประพฤติที่ย่ำแย่รวมกับวิกฤติต้มยำกุ้งที่มาถึงหลายเดือนแล้ว
 
ทำให้ทางสวนส้มตัดสินใจปลดพนักงานบางส่วนออก
 
หนึ่งในนั้นก็คือ..ผม!
 
“พี่เสียใจด้วยนะ! ทางสวนขาดทุนมาก่อนหน้านี้แล้ว แถมช่วงหลังธีย์ก็ติดเหล้าจนทำงานไม่ได้ จึงมีชื่อปลดออกไปด้วย” พี่โชคปลอบใจผม ในวันที่ผมต้องเก็บของกลับบ้าน
 
เมื่อถึงที่บ้าน ครอบครัวของผมตกใจมากที่เห็นสภาพของผมที่ดูโทรมกว่าเดิมมาก ผมอยู่แต่ในบ้านยังไม่สมัครงานที่ไหนต่อ เพราะตอนนั้นมีแต่คนตกงานและทุกคนต่างดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอด
 
ไม่ว่าจะเป็นเปิดท้ายขายของ ขายอาหารหรือขายทรัพย์สินต่างๆเพื่อประคองตัวเองให้ผ่านวิกฤตินี้ไปให้ได้
 
ในขณะที่ผมกลับไม่สนใจโลกและเอาแต่ดื่มเหล้าอยู่เกือบเดือน
 
จนกระทั่งวันหนึ่ง ครอบครัวของผมก็เข้ามาคุยกับผมอย่างเป็นทางการเพราะความเป็นห่วง
 
“ธีย์! เลิกดื่มเถอะลูก แม่รู้ว่าธีย์เสียใจเรื่องแฟน แต่ทำแบบนี้มันไม่ดีต่อตัวเองนะลูก” แม่ผมเป็นคนเริ่มก่อน
 
“พ่อเคยภูมิใจในตัวแกทั้งเรื่องดูแลที่บ้านและเรื่องทำงาน แต่ดูตัวแกในตอนนี้สิ สภาพแทบไม่เหลือความเป็นผู้เป็นคน” พ่อผมพูดแล้วก็ร้องไห้ นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นน้ำตาลูกผู้ชายของพ่อ
 
“พี่ธีย์ทำตัวเหมือนคนชอบหนีปัญหา แทนที่จะมานั่งเศร้าและดื่มเหล้าทุกวันแบบนี้ ทำไมไม่ไปคุยกับพี่น้ำหวานให้ชัดเจนไปเลยว่าจะทำอย่างไรกันต่อ ทำตัวเป็นพวกขี้แพ้ไปได้” น้องสาวผมบ่นผมบ้างและชี้ทางสว่าง
 
ใช่! ผมควรไปหาน้ำหวานและคุยกับเธอเรื่องความสัมพันธ์ให้ชัดเจน
 
คำพูดของน้องสาวผมทำให้ผมได้สติ
 
วันรุ่งขึ้นผมจึงนั่งรถไปที่บ้านของน้ำหวานพร้อมของฝากสำหรับครอบครัวของเธอ
 
มะม่วงจากสวนของผมที่พ่อเธอเคยปฏิเสธแต่ก็แอบกินในตอนหลัง ขนมร้านดังที่แม่ของเธอเคยชอบ และคำขอโทษของผมที่พร้อมจะทำตามเธอทุกอย่าง ขอเพียงเธอกลับมา
 
นี่คือของฝากที่ผมตั้งใจเอามาในวันนี้
 
จนเมื่อผมถึงหาดใหญ่และนั่งรถไปถึงที่บ้านของเธอ ผมก็เห็นภาพบาดตา
 
ผมเห็นน้ำหวานนั่งอยู่กับพ่อและแม่ของเธอ ส่วนอีกฝั่งมีชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งพร้อมครอบครัวนั่งคุยกันอยู่และหัวเราะอย่างมีความสุข
 
ทั้งสองครอบครัวกำลังดูตัวกัน แต่อาจจะมากกว่านั้นเพราะไม่นาน ชายหนุ่มคนนั้นก็จูงมือน้ำหวานออกมาข้างนอกเหมือนจะไปทำธุระกัน
 
และเมื่อชายหนุ่มคนดังกล่าวเดินออกมาจากร้าน ก็เห็นผมยืนนิ่งถือของพะรุงพะรัง
 
“ธีย์! มาได้ยังไงน่ะ?” น้ำหวานถามผม ขณะที่ดึงมือที่จับกับชายหนุ่มคนนั้นออก ด้วยความตกใจ
 
ผมไม่ตอบน้ำหวาน แต่ยืนนิ่งและจ้องไปที่ชายหนุ่มข้างๆเธอ
 
“เอ่อ..ธีย์! นี่พี่ไจ๋....เป็น.....” น้ำหวานแนะนำชายหนุ่มข้างๆ แต่ยังไม่ทันพูดจบ....
 
ผมก็ทิ้งของทั้งหมดในมือ แล้วออกหมัดใส่ไปที่ใบหน้าของชายหนุ่มด้วยความโกรธ
 
พลั่ก!... โอ๊ยย! ......ว๊าย!
 
น้ำหวานตกใจจนร้องออกมาเมื่อเห็นผมต่อยชายหนุ่มข้างๆจนล้มลง เสียงร้องของเธอทำให้ผู้คนในตลาดแถวนั้นหันมาดู รวมถึงครอบครัวของเธอและของชายหนุ่มด้วย
 
“ธีย์!...ธีย์ทำอะไรลงไป ไปต่อยพี่ไจ๋เค้าทำไม? ” น้ำหวานวิ่งเข้าไปดูอาการชายหนุ่มที่ชื่อพี่ไจ๋คนนั้น
 
“แล้วน้ำหวานจะให้ธีย์ทำอย่างไร ในเมื่อเห็นอยู่ว่ามันมาจีบน้ำหวาน มาดูตัวยังไม่พอ แต่ยังมาจับมือถือแขนกันอีก ธีย์ก็ต้องโมโหสิ” ผมระเบิดอารมณ์
 
จากนั้นน้ำหวานก็จะพยายามพูดต่อ แต่ผมไม่รอฟังและพยายามวิ่งเข้ามา หมายจะต่อยผู้ชายที่ชื่อพี่ไจ๋อีกครั้งเพราะความแค้น
 
เรื่องราวก็ชุลมุนอยู่หน้าบ้านของน้ำหวานต่อ ครอบครัวของเธอเข้ามาห้าม แต่ผมไม่ยอมหยุด
 
จนกระทั่งน้ำหวานตะโกนออกมาว่า
 
“หยุดได้แล้วธีย์! พี่ไจ๋เค้าเป็นเกย์ เค้าชอบผู้ชาย!”
 
เมื่อได้ยินคำนี้ ผมหยุดนิ่งราวกับท่อนไม้ แล้วมองหน้าชายหนุ่มที่โดนต่อยไม่นาน ก่อนจะเห็นขนตางอนยาวที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและปากที่ทาลิปสติคบางๆ ที่มีรอบเขียวช้ำจากการถูกต่อย
 
ชัดเลย! คราวนี้.....งานใหญ่เข้าซะแล้ว!
เฮ้อออ!
................................
 
 
ตอนต่อไป
ตอนที่ 22 วิกฤติชีวิต