ย้อนอดีต ตามหา...แม่ของลูก
ตอนที่ 30 ชีวิตยิ่งกว่านิยาย
ท่ามกลางความโศกเศร้าในงานศพ ที่มีแต่เพื่อนร่วมงานและเพื่อนบ้านของว่าน โดยเหมือนจะมีครอบครัวผมเป็นเพียงเหมือนญาติอยู่กลุ่มเดียว เพราะบ้านของว่านไม่มีญาติพี่น้องเลย
 
ช่วงระหว่างงานศพนั้นผมไม่ได้คุยกับว่านเรื่องของที่ดินที่จะทำการไถ่ถอน เพราะเธอกำลังเสียใจมากจนร่างกายซูบผอมและตัวผมเองก็วุ่นกับการช่วยจัดงานศพจนไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น
 
หลังจากจบงานศพเรียบร้อย พวกเราก็นั่งคุยกันถึงเรื่องนี้
 
ผมเล่าวิธีการแก้ปัญหาให้ว่านฟัง เธอปฏิเสธเพราะมองว่าความช่วยเหลือครั้งนี้มันมากเกินไป สำหรับคนที่เป็นแค่แฟนกัน
 
“มันดูรบกวนครอบครัวธีย์มากเกินไปที่ต้องมาเป็นหนี้เพราะว่าน และอีกอย่างหนึ่งเงินที่ต้องชำระแต่ละเดือนก็สูงมากกว่าเงินเดือนของว่านอีก ” ว่านพูดถึงเหตุผลของเธอ
 
“ว่านอย่าปฎิเสธเลย อย่างน้อยว่านก็ยังรักษาบ้านหลังนี้ไว้ได้และไม่ต้องย้ายออก  ส่วนเรื่องเงินที่จะผ่อนรายเดือน ธีย์ก็จะช่วยว่านเต็มที่ เราหาเช่าที่แล้วปลูกพืชอื่นๆเพิ่มได้นะ เพื่อนๆของธีย์มีที่ส่งอยู่แล้วน่าจะพอส่งได้” ผมพูดอธิบายเพิ่ม
 
เราคุยเรื่องนี้กันอยู่นานเพราะว่านยังยืนยังคำเดิม แต่สุดท้ายเธอก็ยินยอมเมื่อผมพูดคำหนึ่งขึ้นมาว่า
 
“ธีย์ไม่ได้อยากเป็นแฟนกับว่านแล้วจะเลือกรับแต่ความสุข ถ้าว่านมีทุกข์ธีย์ก็ต้องช่วยรับมันด้วยเช่นกัน นี่ถึงจะเรียกว่าเป็นการใช้ชีวิตคู่ และธีย์ก็เสียใจที่ว่านเห็นว่าธีย์เป็นคนอื่นและไม่อยากมีอนาคตร่วมกัน ไม่ต้องรอให้แต่งงานธีย์ก็ดูแลว่านและลูกได้นะ เพราะเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว”
 
เมื่อผมพูดจบว่านก็ร้องไห้ขอบคุณผมและทุกคนในครอบครัว คืนนั้นว่านเล่าทุกอย่างที่เกิดให้ลูกชายของเธอฟังอย่างไม่ปิดบัง  สองคนแม่ลูกร้องไห้กันทางโทรศัพท์และไม่กี่วันต่อมา ทั้งคู่ก็มาเยี่ยมครอบครัวของผมเพื่อขอบคุณ
 
พวกเราดำเนินการตามแผน น้องสาวผมเป็นคนทำเรื่องกู้กับธนาคารที่เพื่อนของเธอทำงานอยู่ด้วยความรวดเร็ว ทั้งจำนองที่ดินและกู้เงินเป็นสินเชื่อแทนการซื้อที่ดิน เนื่องจากธนาคารประเมินราคาที่ดินต่ำเกินไป แต่ทุกอย่างผ่านไปอย่างราบรื่นและทันเวลา
 
เราได้ฉโนดที่ดินกลับมาและเปลี่ยนชื่อเจ้าของเป็นชื่อของว่านและผม ซึ่งว่านเป็นคนเสนอเองว่าต้องมีชื่อผมด้วย เพื่อความสบายใจของเธอ
 
เมื่อทุกอย่างที่เลวร้ายผ่านพ้นไป ทีนี้ก็เหลือเพียงการหารายได้เพื่อมาผ่อนธนาคาร
 
ถึงเวลาที่ผม...จะได้ใช้ความรู้และประสบการณ์ที่ผ่านมาแล้ว
 
อันดับแรกที่ผมต้องทำก็คือหาที่ดินสำหรับเพาะปลูกใหม่เพราะที่ดินของว่านเล็กเกินไป รายได้จะไม่พอเรื่องค่าเช่า
 
ในการเริ่มทำการเกษตร คนส่วนใหญ่มักติดกับดักว่าจะทำเกษตรต้องหาเงินซื้อที่เพื่อต้องเป็นเจ้าของที่ดินก่อน ทำให้ทั้งชีวิตได้แต่ฝันและไม่เคยได้ทำเกษตรเลย
 
แต่แท้จริงแล้วเราสามารถเช่าที่ดินทำการเกษตรได้ในราคาที่ไม่แพง ปกติการเช่าที่ดินทำการเกษตรจะคิดกันอยู่ที่หนึ่งพันบาทต่อไร่ต่อปี เพราะยังมีที่ดินอีกมากมายที่เจ้าของซื้อไว้แต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ ราคาเช่าทำเกษตรจึงไม่แพง
 
ซึ่งราคานี้แม้ยุคปัจจุบัน เจ้าของที่ดินหลายคนก็ยังใช้อยู่ไม่ได้ปรับเพิ่ม
 
ผมขอยืมเงินที่บ้านมาก้อนหนึ่ง และเริ่มต้นจากการติดต่อสอบถามเพื่อนบ้านของว่านรวมถึงคนรู้จักเรื่องเช่าที่ดิน ด้วยความมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี ทำให้ได้เช่าที่ดินขนาดยี่สิบไร่มาหนึ่งแปลง อยู่ไม่ไกลจากบ้านของว่านมากนัก ในราคาค่าเช่าปีละสองหมื่นบาท ทำสัญญาเช่าไว้ที่ห้าปีแล้วค่อยต่อสัญญาใหม่
 
ผมตรวจสอบธาตุในดินและวางแผนเรื่องแหล่งน้ำก่อน โดยขุดบ่อสองบ่อ บ่อแรกใช้เลี้ยงปลาและอีกบ่อใช้เป็นแหล่งน้ำสำหรับใช้รดน้ำพืช จากนั้นก็เริ่มปรับพื้นที่ส่วนอื่นๆ
 
เราวางแผนปลูกพืชระยะสั้นเป็นหลัก เพราะห้าปีเป็นสัญญาเช่าที่ไม่ยาวมากและผมต้องการเงินเร็วเพื่อจะได้รีบจ่ายค่าผ่อน
 
โดยเริ่มจากพืชจำพวกผักต่างๆ อาทิ ผักบุ้ง กวางตุ้ง ตะไคร้ ฯลฯ แล้วก็ไผ่พันธุ์ต่างๆรวมถึงพืชสมุนไพร
 
ปัญหาช่วงเริ่มต้นของการทำเกษตรก็คือแรงงาน เพราะแรงงานคนไทยในตอนนั้นก็เริ่มหายากแล้ว แต่ก็แก้ได้ด้วยการโทรหาพี่ชัย รุ่นพี่สุดซี้สมัยที่เรียนมหาวิทยาลัย ที่ตอนนี้เป็นเกษตรอำเภออยู่
 
“พี่ชัยผมอยากได้คนงานมาช่วยทำสวนหน่อยครับ” ผมพูดเรื่องปัญหากับพี่ชัยหลังจากถามไถ่เรื่องสารทุกข์สุขดิบกัน
 
“ได้เลยน้องรัก เดี๋ยวพี่ถามคนในพื้นที่นี้ให้ว่ามีใครอยากไปทำงานสวนที่กรุงเทพไหม แล้วจะช่วยดูถามเรื่องแรงงานต่างด้าวให้ด้วย” พี่ชัยตอบรับเรื่องเป็นธุระจัดหาคนให้
 
จากนั้นผมก็ได้คนงานมาสิบคน เป็นคนไทยสี่คนและต่างด้าวหกคน ที่สามารถทำงานได้แบบถูกกฏหมาย
 
คนงานคนไทยส่วนใหญ่เป็นลูกหลานชาวไร่ชาวนาอยู่แล้วพวกเขาเข้าใจเรื่องการทำเกษตรประมาณหนึ่ง ส่วนคนงานต่างด้าวเราต้องสอนใหม่ แต่ก็ได้เรื่องความขยันมาทดแทน
 
ผมวางแผนในการปลูกช่วงแรกแบบประหยัดที่สุด เพื่อให้ได้ผลผลิตมาขายก่อนเพื่อหาเงิน โดยพืชชนิดแรกของเราที่ขายได้ในเวลาเร็วที่สุดก็คือเห็ดฟาง ต้นอ่อนทานตะวันและต้นอ่อนผักบุ้ง
 
ซึ่งใช้เวลาเพียงหนึ่งอาทิตย์ก็ได้เงิน
 
จากนั้นก็เริ่มขยายปลูกพืชอื่นๆ ภายในเดือนแรกที่เริ่มปลูกและเก็บเกี่ยวผลผลิต เมื่อรวมกับรายได้ของสวนสมุนไพรที่บ้านของว่านแล้ว ผมสามารถมีเงินไปผ่อนชำระได้พอดี หลังจากที่สามเดือนแรกเราต้องใช้เงินส่วนตัวจ่ายค่าผ่อนธนาคารไปก่อน
 
และตอนนี้พืชผักที่ปลูกก็เริ่มมากขึ้น ทำให้เราเริ่มมีรายได้มากขึ้นเรื่อยๆ ตามมา
 
แม้ช่วงนั้นจะเป็นช่วงที่ผมและว่านทำงานหนักมาก แต่ทำให้ผมภูมิใจที่สามารถดูแลและรับผิดชอบคนที่ผมรักได้
 
“ธีย์เก่งมากเลยที่สามารถทำได้ ไม่น่าเชื่อว่าทำเกษตรก็สามารถหาเงินได้เร็วขนาดนี้” ว่านชมผมในวันที่เราไปจ่ายค่าผ่อนธนาคารครั้งแรก จากรายได้ของสวน
 
“มันก็ไม่ง่ายนะ แต่โชคดีที่ดินของแปลงที่เช่าดีอยู่แล้วเลยใส่ปุ๋ยไม่ต้องมากได้ แถมขุดบ่อไปก็เจอตาน้ำที่ไม่ลึกมาก เราก็เลยเริ่มปลูกได้เร็ว” ผมอธิบายให้ว่านฟัง
 
ช่วงนั้นผมต้องดูแลสวนด้วยตัวเองทั้งสามที่ ทั้งที่บ้านของผม บ้านของว่านและสวนที่เช่า ทำให้ไม่มีเวลาว่างในการคิดอะไร ตอนนี้คิดอย่างเดียวก็คือหาเงินให้ได้มากที่สุดเพื่อปลดหนี้
 
ทำแบบนี้ต่อไปไม่นาน ร่างกายผมก็เริ่มทรุดโทรมและเริ่มป่วย แต่คนงานที่สอนงานไว้ก็สามารถทำเองได้แล้วจึงไม่ค่อยห่วงเท่าไหร่
 
หลังจากหายป่วย ทำให้ผมเริ่มโหมงานน้อยลงและดูแลสุขภาพมากขึ้น
 
กิจการด้านเกษตรของผมกำลังเติบโตไปได้ดี ปลาที่เลี้ยงไว้ก็ใกล้จะได้จับไปขาย ไม้ไผ่เองก็โตขึ้นเรื่อยๆ ปีหน้าก็เริ่มมีหน่อไม้ออกมาขายได้แล้ว
 
ผมกับว่านเริ่มวางแผนในอนาคตกันว่า ถ้าธุรกิจด้านเกษตรเริ่มขยายมากขึ้น ว่านจะลาออกจากงานแล้วมาช่วยผม
 
“ถ้าว่านมาช่วย ธีย์จะได้มีเวลาพักผ่อนมากขึ้นและจะได้ไม่ป่วยเหมือนครั้งที่แล้วอีก” ว่านบอกผมและยิ้มให้เหมือนเคย
 
ตอนนี้เธอดูมีความสุขมากขึ้นหลังจากที่ผ่านมรสุมชีวิตครั้งใหญ่มา
 
ฟ้าหลังฝน...มันช่างสวยงามจริงๆ
 
แต่แล้วใครจะคิดว่า....สวรรค์จะยังไม่เลิกทดสอบชีวิตของพวกเรา
 
เพราะในปี 2554  ก็เกิดวิกฤติน้ำท่วมใหญ่ทั่วประเทศ!
 
จนสวนของผมทั้งหมดต้องจมอยู่ใต้น้ำ!!!!
 
......................................
ตอนต่อไป
ตอนที่ 31 รักแค่ไหน...ก็ต้องจากกัน