ย้อนอดีต ตามหา...แม่ของลูก
ตอนที่ 31 รักแค่ไหน...ก็ต้องจากกัน
ผมจำเหตุการณ์ช่วงนั้นได้ดี เมื่อมวลน้ำมหาศาลที่ไหลมาจากภาคเหนือมาถึง ทำให้ทุกอย่างที่สร้างขึ้นมาจมอยู่ใต้น้ำ
 
ภาพอนาคตที่หวังไว้กลับกลายเป็นเหมือนแค่ความฝัน ที่ตื่นมาแล้วพบกับความว่างเปล่า
 
“ธีย์! เราจะทำอย่างไรกันดี? ฮือๆ...” เสียงว่านร้องไห้เมื่อเห็นสภาพสวนของเรา
 
“ว่านย้ายไปอยู่ที่หอพักในโรงพยาบาลก่อนเถอะ ทางนี้เดี๋ยวธีย์จัดการเอง” ผมปลอบว่านและไปส่งเธอที่หอพักเพื่อใช้อยู่อาศัยชั่วคราว
 
เนื่องจากถึงน้ำจะท่วมแต่ว่านก็ยังต้องไปทำงาน แต่ด้วยการเดินทางที่ยากลำบากและมีผู้ป่วยอยู่ทุกวัน จึงไม่สามารถหยุดงานได้ ทางโรงพยาบาลจึงเตรียมหอพักไว้ให้บุคลากรภายในพักชั่วคราว
 
เมื่อส่งว่านเสร็จ ผมก็กลับไปอยู่ดูแลที่บ้านเพราะได้รับผลกระทบเช่นกัน จำได้ว่าตอนนั้นน้ำท่วมจนเกือบถึงชั้นที่สองของบ้าน แม้ขึ้นไปอยู่ชั้นสองได้ แต่ก็ไปไหนไม่ได้ แถมไฟฟ้าก็โดนตัดเพราะกลัวไฟช๊อตและห้องน้ำก็ตัน พวกเราจึงย้ายออกชั่วคราวไปอยู่ที่บ้านของญาติที่ต่างจังหวัดที่น้ำไม่ท่วม
 
ยกเว้นน้องสาวผมที่ต้องดูแลคนไข้ จึงพักที่คอนโดเพื่อนแถวโรงพยาบาลชั่วคราว
 
ส่วนคนงานที่สวน ผมเช่าอพาร์ตเม้นท์ที่น้ำท่วมไม่ถึงให้อยู่ชั่วคราวไปก่อน
 
ในช่วงที่น้ำท่วมทุกคนที่ได้รับผลกระทบต่างก็เครียด แต่ก็น้อยกว่าช่วงโควิดเพราะมันไม่ทำให้ถึงชีวิต และเรายังสามารถพูดคุย สัมผัสและใช้ชีวิตแบบเดิมได้อยู่บ้าง
 
“เจ้าธีย์! แล้วแกจะทำอย่างไรต่อไป?” พ่อถามผมในวันที่พวกเราไม่มีอะไรทำตอนย้ายมาอยู่ที่บ้านญาติชั่วคราว
 
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันพ่อ ทุกอย่างมันเครียดไปหมด คิดอะไรไม่ออกเลย” ผมตอบพ่อตามตรง เพราะตอนนั้นผมคงเป็นคนเดียวในบ้านที่เครียดที่สุด
 
เพราะทุกอย่างที่ทำมาพังหมดแล้ว แถมยังดึงให้ที่บ้านมาเป็นหนี้อีกด้วย
 
“ธีย์! อย่าคิดมากนะลูก เรื่องเงินที่ต้องส่งธนาคารเดี๋ยวเราไปเจรจาผ่อนผันได้ ส่วนสวนที่โดนน้ำท่วมเดี๋ยวเราก็ทำกันใหม่ได้ ไม่ต้องเครียดนะลูก” แม่ปลอบผมแล้วลูบหัวผมเบาๆ เหมือนสมัยก่อนตอนเด็กๆ
 
ชีวิตคนเราก็แปลก แม้คุณจะขยันทำงานแค่ไหนแต่ก็ไม่สามารถรวยได้ดั่งที่คาดหวังไว้ แม้จะมองเห็นอนาคตอยู่ตรงหน้า
 
เพราะมันมักจะมีปัจจัยของอุปสรรคหลายอย่างที่คาดเดาไม่ได้อยู่เสมอ
 
และปัจจัยของอุปสรรคหลายอย่างนั้น พวกเรามักจะเรียกมันว่า “ความซวย”
 
ถึงจะคิดแบบนี้ แต่เมื่อพักอยู่ที่บ้านญาติผมก็ได้อยู่กับพ่อและแม่มากขึ้น จนผมถามตัวเองว่าตั้งแต่โตขึ้นมา ผมมัวทำอะไรอยู่ถึงปล่อยให้พวกท่านอยู่กันตามลำพัง
 
พ่อที่เคยแข็งแรง ตอนนี้เริ่มยกของหนักไม่ไหว จากที่เคยเดินเร็วก็เดินช้าลง นี่ยังไม่นับถึงเรื่องหูตาฝ้าฟางที่พูดแล้วไม่ค่อยได้ยิน
 
ส่วนแม่ที่เคยดูสวยมากเมื่อตอนผมยังเด็ก ตอนนี้ก็มีผมขาวแซมเกือบครึ่ง ริ้วรอยตามวัยเริ่มเด่นชัด จะลุกนั่งก็เจ็บข้อเข่า และทำกับข้าวอร่อยน้อยลงกว่าสมัยก่อน
 
เมื่อเห็นดังนั้น ผมจึงเริ่มทำหลายๆอย่างแทนท่านและทำหน้าที่ลูกชายที่ดีหลังจากห่างเหินไปนานมาก
 
เราสามคนมีความสุขกันแบบครอบครัวที่หายไปนาน ว่างๆก็โทรหาน้องสาวผมและว่านเพื่อถามถึงความเป็นอยู่และเรื่องไร้สาระทั่วไป
 
ทุกอย่างก็ดำเนินต่อไป....จนกระทั่งถึงเวลาที่น้ำลดลงและทุกอย่างกลับสู่ภาวะปกติ
 
...................
 
ผมเริ่มเก็บกวาดบ้านของตัวเองก่อนเพื่อให้พ่อกับแม่สามารถอยู่ได้ แล้วต่อด้วยบ้านของว่าน ส่วนสวนทุกแห่งของเราก็ไม่มีอะไรเหลือต้องเริ่มปลูกใหม่ทั้งหมด ปลาในบ่อก็หายไปกับสายน้ำ
 
แม้จะรู้สึกดีขึ้นในตอนที่อยู่บ้านญาติ แต่เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าก็ยากที่จะรับได้ ทำให้ผมตกอยู่ในความเครียดอีกครั้ง
 
ครอบครัวของผมทำเรื่องกู้กับธนาคารเพื่อนำเงินมาลงทุนใหม่และซ่อมแซมบ้าน ในขณะที่ว่านเองก็ทำเรื่องกู้มาลงทุนและซ่อมแซมบ้านเช่นกัน
 
ตอนนี้พวกเราเป็นหนี้เพิ่มขึ้นอีก
 
แม้จะเริ่มกลับมาทำเหมือนเดิม แต่ผมต้องทำงานหนักขึ้นเพราะต้องเริ่มทำสวนใหม่ทั้งที่บ้านของผม บ้านของว่านและสวนที่เช่าที่ดิน รวมแล้วสามที่
 
นอกจากเหนื่อยจนสายตัวแทบขาดแล้ว แต่รายได้...ก็ยังไม่มากเท่าเดิม!!!
 
ตอนนี้ทั้งผมและครอบครัวก็เริ่มเครียด เพราะเราทำทุกอย่างที่ทำได้ไปหมดแล้ว
 
เราเริ่มมีปัญหาเริ่มเงินที่ส่งธนาคารในแต่ละเดือนเพราะหนี้เก่าและใหม่รวมกัน พ่อและแม่ตัดสินใจขายของบางอย่างเพื่อพยุงสภาพคล่องของพวกเรา
 
“ของนอกกาย...ไม่ตายก็หาใหม่ได้!” แม่ของผมพูดขึ้นในวันที่เอาทองที่เก็บมานานไปขายที่ร้านทอง
 
ว่านรู้สภาพทางการเงินของพวกเราดี เธอเสนอให้ขายบ้านและที่ดินของเธอเพื่อนำเงินมาปิดภาระทุกอย่าง แต่ผมไม่ยอมเพราะอยากให้เธอเก็บไว้เป็นสมบัติของลูกเธอ
 
ด้วยเหตุจากเรื่องนี้บวกด้วยความเครียดจากการหาเงิน ทำให้ช่วงหลังพวกเราจึงเริ่มทะเลาะกันมากขึ้น
 
ช่วงนั้นพวกเราผ่านชีวิตในแต่ละวันด้วยความเครียด แม้เราจะปลอบใจกันและกัน แต่ความเครียดก็ไม่ได้หายไปมากนัก
 
และช่วงหลังพวกเราเริ่มขาดส่งเงินให้ธนาคาร เพราะราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำลง
 
ยิ่งทำให้พวกเราเครียดมากกว่าเดิม
 
....................
 
วันหนึ่งว่านก็ยื่นกล่องของขวัญกล่องเล็กๆให้ผม
 
“อาทิตย์หน้าวันเกิดธีย์ ว่านเลยเอามาให้ล่วงหน้าก่อน เผื่อติดเวรต้องดูคนไข้ แต่ธีย์ห้ามเปิดก่อนนะ ต้องเปิดในวันเกิดเท่านั้น ” ว่านยิ้มให้ผมเช่นเคย
 
“ครั้งนี้มาแปลก ติดเวรวันนั้นก็ไม่เป็นไร ว่านเอามาให้ธีย์วันหลังก็ได้” ผมบอกว่านพลางพลิกดูกล่องของขวัญเล็กๆกล่องนี้
 
“ไม่ได้หรอก ว่านอยากให้มันตรงกับวันเกิดธีย์ ช่วงนี้เราเครียดกันมามากแล้ว มีความสุขเล็กๆในวันพิเศษบ้างก็น่าจะดี” ว่านยิ้มและขอตัวไปทำงาน
 
ตั้งแต่วันนั้นผมก็ยังยุ่งอยู่กับการทำสวนทั้งสามที่เพราะยังไม่ลงตัว จนลืมกล่องของขวัญของว่านไป
 
และเมื่อถึงวันเกิด ผมก็โทรหาว่านเพราะชวนเธอมาฉลองด้วยกันที่บ้านของผม
 
“วันนี้ธีย์อยู่ฉลองกับที่บ้านเถอะไม่ต้องมารับว่าน เพราะว่านต้องอยู่ดูแลคนไข้ช่วงกลางคืนแทนเพื่อนที่ป่วยก่อน อย่าลืมเปิดของขวัญที่ว่านให้ไว้ด้วยนะ สุขสันต์วันเกิดค่ะ ขอให้ธีย์มีความสุขตลอดไป” ว่านพูดอวยพรผมและวางสายไป
 
คืนนั้นผม พ่อ แม่และน้องสาวนั่งฉลองวันเกิดพร้อมหน้ากันเป็นครั้งแรก หลังจากที่เราเจอเรื่องเครียดๆมานาน เมื่อฉลองเสร็จผมก็นอนค้างบ้านของตัวเองเพราะเพลียจากการทำสวนและพิมพ์ข้อความจากโทรศัพท์บอกว่าน แล้วก็หลับไป
 
จนกระทั่งผมต้องตื่นมากลางดึกเพื่อรับโทรศัพท์สายหนึ่ง
 
ที่ผมไม่อยากรับที่สุดในชีวิต
 
เพราะทันทีที่ผมรับสาย...ทางฝั่งนั้นก็พูดว่า
 
“ธีย์..ว่านโดนรถชน ตอนนี้เสียแล้วนะ !...........”
 
......................
ตอนต่อไป
ตอนที่ 32 ไม่มีใครรู้